โปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง
วังเวียง – หลวงพระบาง – เวียงจันทร์
ค่าใช้จ่ายแบบลุยเดี่ยวเดินทางคนเดียว 6 วัน 5 คืน เต็มๆ
เดินทางกรุงเทพ
– อุดรฯ โดยเครื่องบินช่วงเช้า แล้วต่อรถจากอุดรฯ เข้าเวียงจันทร์ โปรแกรมนี้ถึงจะไปเริ่มต้นที่เวียงจันทร์ แต่เราจะเก็บที่นี่ไว้เที่ยวเป็นแหล่งสุดท้าย เพราะไม่มีอะไรให้ต้องชมมากนัก ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เที่ยวได้ครบหมดแล้ว
ตรวจพาสปร์อตของตัวเอง ให้มั่นใจว่ามีอายุเหลือเกิน 6
เดือน หากเหลือน้อยกว่านั้นต้องทำวีซ่าเข้าลาว ที่ด่านลาวซึ่งจะเสียเวลามากและรถจะไม่รอ (แต่ก็หารถอื่นไปต่อ หรือรอรถเที่ยวต่อไปแล้วจ่ายเงินใหม่ได้)
ราคาต่างๆที่ระบุไว้ในรายการเป็นราคาของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551
วันแรกของการเดินทาง

6.00
น. เครื่องบินออกจากสนามบินดอนเมือง ถึงสนามบินอุดร เวลาประมาณ 7
โมงเช้า (
นกแอร์ ราคาตั๋วถูกสุดไปกลับราคา 2,180
บาท แต่ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3
สัปดาห์ เข้าไปเช็คดูราคาซึ่งอาจจะหาตั๋วราคาได้ถูกกว่าหรือใกล้เคียงกันนี้ได้ที่เว็บของนกแอร์ www.nokair.com) ขึ้นเครื่องตอนเช้า จะเห็นกรุงเทพฯ สวยมากๆ ใหญ่กว่าที่คิดและสวยกว่าที่เคยเห็น วันที่เดินทางมีสายหมอกปกคลุมกรุงเทพฯ ดูเหมือนมีผ้าแพรผืนมโหฬารคลุมกรุงเทพฯอยู่ มองผ่านม่านหมอกลงไปเห็นแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนด้านล่าง รักกรุงเทพฯขึ้นอีกเยอะเลย พอเครื่องขึ้นสูงทะลุเหนือกลุ่มเมฆขึ้นมาแล้ว ก็พอดีพระอาทิตย์ขึ้น ขอบฟ้าเป็นสีฟ้าสดตัดกับสีส้มของดวงอาทิตย์ ด้านล่างเป็นก้อนเมฆหนาทึบรูปทรงเหมือนคลืนยักษ์สีขาวโพลน สวยแปลกตากว่ามุมอื่นๆที่เคยเห็น
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาทีถึงสนามบินอุดรฯ จากสนามบิน ติดต่อซื้อตั๋วรถตู้ไปคิวรถ อุดร – เวียงจันทร์ ที่เคาน์เตอร์ลิมูซีนภายในสนามบิน ค่าตั๋วรถตู้ 60 บาท รถตู้จะพาไปส่งยัง บขส เก่าของ จ.อุดร คิวรถไปเวียงจันทร์จะอยู่ที่นั่น หากไปกันหลายคนก็สามารถเรียกรถสามล้อที่เข้าไปส่งผู้โดยสารที่สนามบินให้ไปส่งก็ได้ ค่ารถประมาณ 100 บาท
ที่ติวรถ อุดร – เวียงจันทร์ มีรถรอบ 8 โมงเช้า ค่ารถคนละ 80 บาท ต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อตั๋ว รถออก 8 โมงตรง มุ่งไปที่หนองคายเพื่อผ่านแดนที่นั่น เราต้องผ่านสองด่านคือด่านไทยก่อน แล้วก็ข้ามสะพานไปเข้าด่านลาวอีกที ก่อนต่อแถวเพื่อตรวจพาสปร์อตเพื่อผ่านแดนอย่าลืมเอาใบ Immigration Form มากรอกก่อน ไม่งั้นจะต้องย้อนออกมากรอกแล้วต่อแถวใหม่เสียเวลาเปล่าๆ ขอ Immigration Form จากคนรถ หรือจากเจ้าหน้าที่ที่ด่านได้เลย (ที่จุดวางแบบฟอร์มไม่ค่อยมีเหลือให้หยิบ) รถจะจอดรอจนผู้โดยสารผ่านด่านกันเรียบร้อยใช้เวลาไม่นานมากนักทั้งสองด่าน
เมื่อผ่านด่านครบทั้งสองด่านแล้ว รถจะมุ่งเข้าเวียงจันทร์ จุดสิ้นสุดคือคิวรถที่ตลาดเช้า จากที่นี่หากสะดวกสุดก็ให้หารถสามล้อไปส่งที่คิวรถสายเหนือเพื่อไปยังวังเวียง หากต้องการไปรถตู้หรือรถสองแถวแบบที่ชาวบ้านเขาใช้ก็บอกสามล้อได้เพราะคิวรถจะอยู่ต่างที่กัน แต่ต้องเช็คให้ดีว่ามีรถออกเวลาไหนบ้างเพราะรถจะมีน้อยกว่าที่คิวรถสายเหนือ ราคาค่ารถสามล้อก็ต่อรองกันเอง แต่การเรียกราคานักท่องเที่ยวสูงๆเป็นเรื่องปกติของทุกที่ แต่ยังไงก็ไม่ควรเกิน 100 บาท
ก่อนไปคิวรถต้องให้ทางสามล้อพาไปแลกเงินที่ธนาคารก่อน ที่ประเทศลาวหากไปแลกที่อื่นจะได้อัตราที่ต่ำกว่าแลกธนาคาร (อัตราแลกที่ธนาคาร 280.17 กีบต่อ 1 บาท ณ.วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 51) ถึงจะใช้เงินไทยได้ในทุกที่ของลาวแต่การใช้เงินไทยจะเปลืองหรือจ่ายแพงกว่าเพราะทางลาวจะใช้วิธีปัดราคาขึ้นทั้งหมด เช่น ค่าเข้าห้องน้ำ 1,000 กีบ คิดเป็นเงินไทย 3 บาทกว่าๆ ทางลาวก็จะใช้วิธีปัดขึ้นเป็น 5 บาทเป็นต้น หรือของราคา 10,000 กีบ ราคาไทยควรจะ 35 หรือ 36 บาท ก็จะถูกปัดเป็น 40 บาททันที

ที่คิวรถสายเหนือ ซื้อตั๋วไปวังเวียง ใช้เวลาเดินทาง
4-5 ชั่วโมง แต่ถ้าถามคนรถเขาก็จะบอกว่า 3 ชั่วโมง อย่าเชื่อยังไงก็ไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมงแน่ๆ ค่ารถบัสติดแอร์ 40,000 กีบ ถ้าเป็นรถบัสธรรมดาไม่ติดแอร์ ราคาก็ถูกลงถ้าเป็นรถ VIP ราคาจะสูงขึ้นอีกนิดและรถ VIP มีรอบเดียวคือ 8 โมงครึ่ง ซึ่งตามโปรแกรมนี้เราไปไม่ทันอยู่แล้ว รถไปวังเวียงนั้นจะเป็นรถสายยาว คือรถเวียงจันทร์ - หลวงพระบาง หรือรถเวียงจันทร์-เชียงขวาง จะไปสายไหนก็ผ่านวังเวียงทั้งนั้น ดังนั้นเลือกรถที่ออกเร็วที่สุดแล้วกัน อย่าเกี่ยงว่าเป็นรถธรรมดาไม่ติดแอร์ เพราะรถติดแอร์ก็ไม่ค่อยจะมีแอร์ คือเขาไม่เปิดแอร์นะครับ แถมเปิดหน้าต่างไม่ได้ด้วย ถึงวังเวียงประมาณบ่าย
3 หรือบ่าย 4 ให้รีบหาที่พักเพื่อจะได้มีเวลาไปเที่ยวที่ถ้ำจังก่อน เมื่อลงรถแล้วสามารถเดินหาที่พักได้เลยถ้าหากต้องการพักอยู่ใกล้ๆตลาดที่เป็นแหล่งรวมของนักท่องเที่ยว ถ้าไม่อยากเดินเพราะมีสัมภาระเยอะก็จ้างรถสามล้อ ราคาเหมาไม่ควรเกิน 20,000 กีบ แต่ถ้าไม่ได้เหมาคิดเป็นรายหัวเพราะมีคนอื่นไปด้วยก็ไม่ควรเกิน 10,000 กีบต่อคน หากแพงกว่านี้ก็เดินเอาดีกว่า แต่หากต้องการความสงบก็หาที่พักห่างออกไปอีกสัก 1-2 กิโล บรรยากาศจะเงียบสงบกับวิวขุนเขาสวยๆริมลำน้ำซอง เหมารถสามล้อให้เขาพาไปตะเวนแวะเลือกที่พักได้ (สามารถขอดูห้องได้ก่อน หากยังไม่ถูกใจก็ยังไม่ต้องเอารถเขาจะพาไปดูที่อื่นต่อจนกว่าจะถูกใจเรา) ราคาเหมาสามล้อก็ 20,000 – 30,000 กีบ ถึงจะอยู่ห่างออกมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะห่างของกินหรือแหล่งเที่ยว เพราะสามารถให้ทางที่พักจัดการเรื่องเช่ารถจักรยานให้ได้ในราคาเพียง 60 – 120 บาทต่อวันตามประเภทและสภาพของรถ หรือมอร์เตอร์ไซด์ก็ 200 – 300 บาทต่อวัน หรือจะจ้างสามล้อก็ได้ (แต่ก็แพงหน่อย แต่ละจุดที่ไปจะเรียกค่าโดยสาร 20,000 – 30,000 กีบ) ส่วนค่าที่พักจะอยู่ที่ 30,000 กีบไปจนถึงหลายแสนกีบ ขึ้นอยู่กับสภาพหรือระดับของที่พักและ location เลือกตามใจชอบได้เลยสำหรับ พ.ศ.นี้ (2551) ไม่ต้องจองล่วงหน้าที่พักมีเยอะมากไม่ต้องกลัวว่าจะหาที่พักไม่ได้ เมื่อเก็บของเข้าที่พักและมีรถที่จะพาไปเที่ยวแล้ว จุดแรกที่ควรไปเที่ยวคือถ้ำจัง ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของวังเวียง เปิด
8.00 น. ถึง 17.00 น. การเข้าถ้ำจังต้องผ่านถ้ำจังรีสอร์ทซึ่งต้องจ่ายค่าผ่านประตู 2,000 กีบ เข้าไปด้านในของรีสอร์ทจะเห็นสะพานข้ามน้ำซองสีส้มสดใส วิวตรงนี้สวยทีเดียว เมื่อข้ามสะพานไปแล้วต้องเสียค่าเข้าชมถ้ำจังอีก 10,000 กีบ บริเวณนั้นจะมีถ้ำเล็กๆอีกจุดหนึ่งปากถ้ำจะมีธารน้ำที่ไหลออกจากถ้ำจัง น้ำจะใสตลอดปีใสจนเห็นพืชน้ำด้านใต้ของธารน้ำทีเดียว ซึ่งจะต่างกับน้ำในแม่น้ำที่เมื่อถึงฤดูฝนน้ำจะเป็นสีส้มแดงขุ่นคลั่ก จะเข้าถ้ำจังต้องขึ้นบันไดไป 147 ขั้น (ตะคริวรับประทานเลย) แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วก็ไม่ผิดหวัง ภายในถ้ำจะค่อนข้างกว้างใหญ่ทีเดียว พื้นทางเดินปรับแต่งเรียบร้อยและเปิดไฟในถ้ำให้สว่างเพียงพอที่จะมองเห็นหินงอกหินย้อยและเหวลึกภายในถ้ำ ก็สวยทีเดียวนะ เราไม่มีไกด์ส่วนตัวก็แอบฟังไกด์ที่พานักท่องเที่ยวคนอื่นเข้าไปเที่ยวแล้วกัน ได้อรรถรสทีเดียวดีกว่าเดินดูเฉยๆ ออกจากถ้ำจังก็คงเย็นแล้ว ไปหาที่กินข้าวเย็นริมลำน้ำซองดีกว่า มีหลายร้านและเป็นที่ปาร์ตี้ของนักท่องเที่ยวด้วย เลาะดูไปเรื่อยๆถูกใจตรงไหนก็จอดที่นั่นแหละ ค่าอาหารไม่ถูกกว่าบ้านเรา แต่ได้บรรยากาศและสนุกสนานดีทีเดียว อิ่มแล้วก็เดินดูค่ำคืนในวังเวียง แหล่งของฝรั่งก็ได้บรรยากาศคล้ายตรอกข้าวสารอะไรประมาณนั้น พอใจแล้วค่อยกลับที่พัก
วันที่สองของการเดินทาง
- รีบตื่นแต่เช้าหน่อย หน้าหนาวจะมีหมอกลงเยอะได้บรรยากาศดี หากพักอยู่ริมน้ำจะเห็นไอน้ำลอยอยู่เหนือลำน้ำ สวยทีเดียวพอแดดออกก็ลอยขึ้น แล้วค่อยๆละลายหายไป ใครโชคดีไปในช่วงที่ธรรมชาติเป็นใจ ก็จะได้รูปสวยๆทีเดียว
- ตะลอนออกนอกตลาดไปทางเหนือ เส้นทางที่จะไปหลวงพระบาง ชมวิวและวิถีชาวบ้านช่วงเช้า ฝั่งนี้จะสวยเพราะแสงอาทิตย์ส่องเข้าหาขุนเขาด้านหน้า หากมาตอนบ่ายหรือเย็นจะถ่ายรูปได้ไม่สวยแล้ วเพราะต้องถ่ายรูปย้อนแสงตลอด หากไปจนถึงผาตั้งก็ประมาณ 20 กิโล หากเลยไปอีกจะเป็นจุดขายของป่า ซึ่งจะเป็นกระต๊อบริมถนนของชาวบ้าน ด้านหน้าติดถนนด้านหลังเป็นลำธารน้ำ รอบๆก็เป็นขุนเขาเขียวชอุ่มน่าอยู่ที่เดียว ของที่มีขายก็เป็นของป่าโดยเฉพาะสิ้นค้าจากเลียงผา ทั้งเนื้อสดและตากแห้ง หัวและเขาเลียงผา น้ำมันเลียงผา ยาหม่องจากน้ำมันเลียงผา เหล้าดองยา และสัตว์ป่าที่ชาวบ้านดักมาได้ สัตว์อีกชนิดที่มีขายเยอะคือปูเป็นปูจากลำธารในป่าคล้ายๆปูนาแต่ตัวใหญ่กว่าสองเท่า ที่เหลือก็จะเป็นต้นไม้ที่ชาวบ้านเอามาทำเป็นอาหารที่เห็นมีหน่อบุ่นยาวๆเหมือนลำไม้ไผ่ กับหนอ่อะไรอีกสักอย่างจำชื่อไม่ได้ หน่อมันท่อนเบ้อเร่อเท่าเสายูคาลิปตัสทีเดียว จะซื้อไปกินก็ต้องแบกไปเหมือนแบกเสาบ้านเลย

- กิจกรรมที่มีก็พายเรือคายัค หรือล่องหว่งยาง สามารถไปเริ่มที่แถวผาตั้งได้ ล่องตามน้ำมาเรื่อยๆ ชมความงามสองฝั่ง ระหว่างล่องมาก็จะเจอที่พัก ที่ขายอาหาร สามารถแวะได้รายทางเลย ซึ่งบางที่ก็จะทำจุดโดดน้ำ ให้นักท่องเที่ยวได้เล่นกัน อีกจุดที่จะผ่านคือจุดจั๊มปิ้ง ซึ่งเป็นร้านอาหาร และเป็นแหล่งของฝรั่งไปโหนเชือกโดดน้ำกัน ที่นี่เขาจะโชว์ลีลาการโหนเชือกโดดน้ำ ทางร้านก็จะเปิดเพลงเร้าใจเหมือนอยู่ในเธคเป็นการกระตุ้น ใครตีลังกาหลายตลบหรือมีท่าสวยๆก็จะได้รับเสียงตบมือส่งเสียงเชียร์กันสนั่น แต่ขอเตือนว่าประเภทไม่มีลีลาแต่อยากโดดอย่าเสร่อขึ้นไปโหนเชือกโดดกับเขาเชียว โดนโห่แน่ๆ นักโดดน้ำจะมีทั้งหญิงและชายส่วนมากโชว์ลีลาประมาณยิมนาสติกอะไรอย่างนั้น คนไทยไม่ค่อยมีเพราะตรงนี้เป็นแหล่งฝรั่ง
นอกนี้ยังมีถ้ำอื่นๆให้ชม เช่น ถ้ำช้าง ภายในถ้ำจะมีหินงอกตามธรรมชาติรูปทรง คล้ายช้างเป็นถ้ำเล็กๆไม่มีอะไรมากและต้อง เสียค่าเข้าชมด้วย 2,000 กีบ, ถ้ำน้ำและถ้ำนอน อันนี้ควรมีไกด ์เพราะต้องสวมชูชีพลอยน้ำ เข้าไปในถ้ำ ข้างในจะมืดควรมีไฟฉายและไกด์นำทาง
หิวเมื่อไหร่ก็แวะกินข้าว อิ่มแล้วก็ทำกิจกรรมต่อ หมดแรงเมื่อไหร่ค่อยกลับที่พัก หากไม่หมดแรงจะย่ำราตรีในตลาดต่อก็ Ok
วันที่สามของการเดินทาง
เช้าเดินทางเข้าหลวงพระบาง ส่วนมากทางที่พักจะเสนอให้เราไปรถตู้เนื่องจากจะสะดวกกว่าและก็เข้ามารับถึงที่พัก แต่ค่าโดยสารจะแพงกว่ามากทีเดียวรู้สึกว่าจะ
100,000 กีบ หรืออาจจะสูงกว่านั้น จำไม่ได้ สภาพรถตู้ไม่ได้ดีหรือสบายกว่าการนั่งรถบัสประจำทางซึ่งราคารถแอร์แค่ 60,000 กีบ แต่อาจต้องเสียเงินค่าสามล้อมาที่คิวรถอีก ก็แล้วแต่จะสะดวกเลือกที่จะเดินทางแบบไหนก็ได้
วิวระหว่างทางสวยมากถึงมากที่สุดคุ้มค่าที่จะนั่งรถนานๆ สวยจนอยากลงรถไปถ่ายรูปให้สะใจ ถนนจากวังเวียงไปหลวงพระบางคดเคี้ยวหนักกว่าเส้นทางเชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอนอีก ใครเมารถก็ได้อ้วกแน่ เตรียมถุงไปเลย
ถึงหลวงพระบาง ที่คิวรถจะมีคนนำเสนอที่พักราคาถูก พร้อมพาไปส่ง ก็ตัดสินใจดีๆ ถามถึงจุดทีตั้งของที่พักด้วยหากไกลออกไป ถึงที่พักจะราคาถูก แต่สุดท้ายต้องเสียเงินค่ารถ ไปโน่นมานี่อีกก็ไม่คุ้มกัน เพราะรถสามล้อเรียกราคาทีละ 20,000 ถึง 30,000 กีบอยู่แล้ว แนะนำให้หาที่พักใกล้วัดเชียงทอง ถนนสายกลางจะเป็นกลุ่มเฮือนพัก และโรงแรมที่ไฮโซหน่อยราคาสูงนิด แต่ในซอยและถนนด้านข้าง ทั้งสองข้างซึ่งเป็นถนนเลียบริมน้ำ แล้วราคาที่พักไม่แพง ราคามาตรฐานส่วนใหญ่ก็ 14-150,000 กีบ หากขยันเดินหาหน่อยก็จะได้ราคาถูกกว่านี้
ที่พักแนะนำให้หาในซอยหน้าวัดป่าไผ่ ราคา 14-150,000 กีบ บริเวณนี้ตอนเช้าลงจากห้องนอนมาใส่บาตรได้เลย ตรงสี่แยกกลางซอยพระทั้ง 300 รูปเดินบิณฑบาตผ่านจุดนี้ทั้งหมด กลางวันก็ออกเดินเที่ยวได้ไม่ต้องเช่าจักรยานหรือมอร์เตอร์ไซด์เลยสามารถไปเดินไปยังจุดเยี่ยมชมต่างๆต่อถึงกันตลอด เย็นๆก็เริ่มเดินช้อปปิ้งที่ตลาดนัดกลางคืนจากในซอยได้เลย ค่ำๆก็เดินเลือกร้านอาหารริมน้ำกันสบายๆ
เมื่อได้ที่พักแล้วจุดแรกที่ควรไปคือพระราชวังหลวงพระบางซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางขึ้นพระธาตุภูสี พระราชวังปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในบริเวณพระราชวังจะเป็นที่ประดิษฐานของพระบางพระคู่บ้านคู่เมือง หอพระบางอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้ายของพระราชวัง (หากหันหน้าเข้าพระราชวังจะอยู่ด้านขวา) และโรงละครอยู่ด้านฝั่งตรงกันข้ามกับหอพระบาง หน้าโรงละครจะมีอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ หากเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต้องเสียค่าเข้า 20,000 กีบ ถ้าไม่เข้าก็เดินชมและถ่ายรูปภายในบริเวณพระราชวังและหอพระบางได้
ติดกับพระราชวังจะมีวัดใหม่สุวรรณภูมาราม จุดเด่นคือโบสถ์ที่มีเสาลงรักปิดทองสวยงามมาก ผนังด้านหน้าโบสถ์ก็ตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทอง พรพุทธรูปในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง
ใกล้เย็นแล้วก็ขึ้นพระธาตุภูสี ทางขึ้นอยู่ตรงกันข้ามกับพระราชวัง ต้องขึ้นบันไดไป 328 ขั้น แต่ไม่ต้องตกใจ มีช่วงลำบากคือช่วงแรก 180 ขั้นที่สูงชันเท่านั้น เมื่อขี้นมาถึงจุดพักได้ต่อไปก็สบายแล้ว ตรงจุดนี้ต้องซื้อตั๋วขึ้นไปชมอีก 10,000 กีบ บันไดช่วงต่อไปจะเป็นบันไดที่เลียบๆ ค่อยๆลาดขึ้นไป และแบ่งที่พักเป็นช่วงๆ สามารถเดินได้สบายๆไม่เหนื่อย บนพระธาตุภูสีจะเป็นจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก และชมวิวเมืองหลวงพระบางที่สวยงาม คนจะเยอะเพราะถือเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของหลวงพระบาง
เมื่อลงมาจากพระธาตุภูสีแล้วก็ถึงเวลาช็อปปิ้ง ตลาดนัดกลางคืนเริ่มต้นจากนี่เข้าไปในถนนซอยต่างๆทะลุกันไปมา สินค้าส่วนใหญ่เป็นพวกผ้า, กระเป๋าผ้า, ผ้า ผ้า ผ้า และผ้า เป็นหลัก ให้ถามราคาสินค้าเป็นเงิน 3 สกุลคือ แม่ค้าจะบอกราคาเงินบาทเป็นอันดับแรก ให้ถามราคาเงินกีบ และราคาดอลล์ล่าด้วย แล้วค่อยเทียบราคาเพื่อต่อรอง อย่างลืมว่าการค้าที่นี่ใช้วิธีปัดเศษเงินขึ้นทั้งนั้น ช็อปเสร็จก็เดินทะลุซอยไปถนนเลียบริมฝั่งน้ำซึ่งมีร้านอาหารริมน้ำติดกันเป็นพรืดเลือกร้านที่ถูกใจสักร้าน นั่งดินเน่อร์ในบรรยากาศสบายๆ
ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารจะมีร้านสปาและนวดตัว ค่านวดไม่แพงนวดตัว 1 ชั่วโมง 4 ดอลล์ล่า หรือ 40,000 กีบ (ซึ่งเทียบค่าเงินแล้วควรจะเป็น 36,000 กีบ แต่คนลาวจะไม่ชอบเศษก็จะปัดขึ้นเป็น 40,000 ทันที) มีคล้ายๆของไทยคือนวดตัว, นวดเท้า, นวดอโรม่า ราคาก็ไม่ถูกไม่แพง พอสบายๆ หากปวดหายเมื่อยดีทีเดียว นวดเสียหน่อยก่อนกลับเข้าที่พัก
วันที่สี่ของการเดินทาง
- 6 โมงเช้าออกมาใส่บาตร พระและเณรกว่า 300 รูป ใส่ทีเดียวคุ้มสะใจ มีแม่ค้านำข้าวเหนียวใส่กระติ๊บมาขาย กระติ๊บละ 20,000 กีบ ซึ้อ 3 กระติ๊บแล้วยังพระยังบิณฑบาต ไม่หมดเลย ที่นี่ต้องหยิบข้าวใส่ทีละนิด ละนิด อย่ามือหนัก เขาใส่กันแบบนี้ทั้งนั้น

ใส่บาตรเสร็จหาของกินตอนเช้าริมน้ำโขง หรือจะเข้าตลาดก็ตามใจ
8 โมงเช้าล่องเรือชมถ้ำติ่ง ค่าตั๋วล่องเรือ 60,000 กีบ หาซื้อได้จากบริษัททัวร์ที่มีอยู่เกลื่อนเมือง เรือล่องตามลำน้ำโขงไปถึงถ้ำติ่ง แล้วก็มีการแวะตามหมู่บ้านชาวบ้านอีกนิดหน่อย กลับเข้าจุดขึ้นเรือประมาณ บ่ายนิดหน่อย บ่ายโมงครึ่งไปเที่ยวน้ำตกกวางสี ค่าทัวร์ 50,000 กีบ ก็ชื้อทัวร์ได้พร้อมกันกับการล่องเรือไปถ้ำติ่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นรถไปน้ำตก เพราะว่าเขาจะรอจนนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาถึงแล้วจึงจะออกรถ รายการนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดเพราะน้ำตกสวย และอ่างน้ำก็เป็นสีเขียวแบบมรกตทีเดียว บริเวณน้ำตกมีกรงเสือและกรงหมีให้แวะชมด้วย
กลับจากน้ำตกกวางสี รถจะมาจอดส่งที่หน้าพระราชวังหลงพระบาง ก็เดินชมไปตามถนนหนทางเรื่อยๆบรรยากาศสบายๆ มีร้านอาหารเก๋ๆเยอะดี ตึกเก่าๆสไตล์โคโลเนียลก็สวย ช็อปต่อแล้วค่อยทานอาหารก็ตามสบาย ควรพักไวหน่อยพรุ่งนี้ตะลุยไหว้พระตามวัดต่างๆจากเหนือจรดใต้ให้หมด
วันที่ห้าของการเดินทาง
- เช้าจะใส่บาตรอีกรอบก็ตามใจ
- ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เก็บของมา check out และฝากของไว้ก่อน ออกเดินตามถนนสายกลางไปเรื่อยๆ แวะไหว้พระตามวัดต่างๆ แต่วัดที่ต้องแวะให้ได้คือ วัดแสนสุขาราม เป็นวัดเดียวที่มีพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ มีโบสถ์ที่ลงลวดลายปิดทองบนพื้นแดงสวยมากๆ จากวัดนี้เดินต่อไปเรื่อยๆแวะวัดต่างๆสองข้างทาง ไปจนถึงวัดเชียงทอง ที่ใครไม่ได้แวะไปก็ถือว่าไปไม่ถึงหลวงพระบางเลยทีเดียว

วัดเชียงทองมีโบสถ์ (ชาวลาวเรียกสิม) ศิลปะทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ประตูโบสถ์แกะสลักลายสวยมาก
ผนังภายในลงรักบนพื้นสีดำ บริเวณผนังด้านหลังโบสถ์เป็นจุดที่พลาดไม่ได้ ที่นี่จะมีศิลปะการติดกระจกเป็นลวดลายต้นทองขนาดใหญ่ ใกล้ๆกันตรงด้านข้างและด้านหลังก็จะมีวิหารแดง และวิหารพระม่านผนังด้านนอก จะเป็นศิลปะการตัดปะกระจกสีเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ สวยทีเดียว ภายในวัดยังมีโรงเก็บราชรถพระโกศ แค่ประตูก็สวยคุ้มที่เดินทางไปถึงแล้ว ราชรถพระโกศ และผนังภายในก็สวยงามอย่างยิ่ง ภายในยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่ปางต่างๆเก็บไว้จำนวนมาก
ด้านหลังของวัดเชียงทอง เป็นถนนเลียบลำน้ำโขง เดินขึ้นไปเรื่อยๆอีกนิดหน่อย ก็จะเป็นจุดที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง เดินชมไปเรื่อยๆสบายๆ
จริงๆในหลวงพระบางยังมีสถานที่ใกล้เคียงให้เที่ยวชมอีก เช่น น้ำตกตาดกว่างซี น้ำตกตาดแซ พระธาตุโพนเพา สุสานอองรี มูเอด ฯลฯ หากต้องการไปให้ครบก็ต้องเพิ่มวันอีกวัน สามารถเหมารถสามล้อไปได้
กะเวลากลับเข้ามาเอาของที่ฝากไว้และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ไปให้ถึงคิวรถเวียงจันทร์ 6 โมงเย็น เพื่อซื้อตั๋วรถหลวงพระบาง – เวียงจันทร์ รอบทุ่มครึ่ง ต้องมาก่อนเวลาสักหนึ่งชั่วโมงนะครับ ไม่งั้นอาจจะไม่ได้ตั๋วหรือได้ตั๋วแต่ไม่มีที่นั่งต้องนั่งเก้าอี้เสริมที่เป็นเก้าอี้พลาสติกไม่มีพนักพิงหลัง เดินทาง 8 – 10 ชั่วโมงนะครับ ค่าตั๋วรถ 100,000 กีบ (ตั๋ว ที่นี่เรียก ปี้) อีกวิธีคือซื้อตั๋วกับบริษัททัวร์ท้องถิ่นหรือกับทางที่พัก เขาจะบวกราคาเพิ่มอีก 20,000 กีบ แต่ก็ต้องนำใบเสร็จมายื่นที่ช่องขายตั๋วของคิวรถเหมือนเดิม ถ้ามาช้าก็อดได้ที่นั่งอยู่ดี เดินทางทั้งคืนถึงเวียงจันทร์เช้า

วันที่หกของการเดินทาง
- เช้าถึงเวียงจันทร์ พักดื่มกาแฟเข้าห้องน้ำที่คิวรถก่อน เหมารถ 3 ล้อเที่ยวชมจุดต่างๆที่น่าสนใจในเวียงจันทร์ สถานที่ที่ไม่ควรพลาดคือ ประตูชัย, พระธาตุหลวง, วัดสีสะเกด, วัดองค์ตื้อ และหอพระแก้ว ส่วนจุดอื่นๆก็มีอีกนิดหน่อย เช่น พระธาตุดำ, หอคำ, ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม, พิพิธภัณฑ์, วัดมีชัย, ถนนเจ้าฟ้างุ้มที่เลียบริมฝั่งโขง เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ และร้านอาหารริมแม่น้ำ
- ค่าเหมารถเริ่มที่ 400 บาท แล้วแต่ว่าเราจะใช้เวลานานเท่าไหร่ หากใช้เวลานานไปแวะถ่ายรูปทุกที่ก็ราคา 700 – 1,000 บาท
- สิ้นสุดการแวะชมให้รถสามล้อมาส่งที่ตลาดเช้า เพื่อเดินทางกลับอุดร โดยรถบัสเหมือนเดิม
- จากคิวรถบัสเรียกรถสามล้อไปสนามบิน ค่ารถ 100 บาท
- ถึงกรุงเทพฯ โดยปลอดภัยและสบายกระเป๋า ทริปนี้ 6 วันค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก
ประมาณการณ์ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
เดินทางกรุงเทพฯ – เวียงจันทร์
ค่าเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ – อุดร 2,180 บาท
ค่ารถตู้จากสนามบินอุดรฯ ไปคิวรถอุดร-เวียงจันทร์ 60 บาท
ค่ารถบัส อุดร – เวียงจันทร์ 80 บาท
ค่ารถสามล้อจากคิวรถฝั่งลาว (ตลาดเช้า) ไปคิวรถสายเหนือ 72 บาท (20,000 กีบ)
วังเวียง
ค่ารถบัสจากเวียงจันทร์ไปวังเวียง 143 บาท (40,000 กีบ)
ค่ารถสามล้อที่วังเวียงไปหาที่พัก 72 บาท (20,000 กีบ)
ค่าที่พักในวังเวียง 2 คืน 429 บาท (60,000 กีบต่อคืน)
ค่าเช่าจักรยานเที่ยวชมวังเวียง 2 วัน 200 บาท (56,000 กีบ)
ค่าเข้าชมถ้ำจัง (ประตูหน้า + ปากทางเข้าถ้ำ) 43 บาท (12,000 กีบ)
ค่าเข้าชมถ้ำช้าง 7 บาท (2,000 กีบ)
ค่ากิจกรรมต่างๆ และค่าเข้าชมสถานที่ (โดยประมาณรวมๆกัน) 200 บาท
ค่าอาหาร 2 วัน (แบบกินธรรมดาไม่หรูหราและไม่กินจุเกินไป) 600 บาท (วันละ 300)
หลวงพระบาง
ค่ารถวังเวียง – หลวงพระบาง 215 บาท (60,000 กีบ)
ค่ารถหาที่พักในหลวงพระบาง 72 บาท (20,000 กีบ)
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆในหลวงพระบาง (โดยประมาณรวมๆกัน) 200 บาท
ค่าทัวร์ล่องเรือไปถ้ำติ่ง 215 บาท (60,000 กีบ)
ค่าทัวร์ไปชมน้ำตกกวางสี 179 บาท (50,000 กีบ)
ค่าที่พักในหลวงพระบาง 2 คืน 1,000 บาท (140,000 กีบต่อคืน)
ค่ารถสามล้อไปคิวรถเข้าเวียงจันทร์ (ขากลับ) 72 บาท (20,000 กีบ)
ค่ารถหลวงพระบาง – เวียงจันทร์ 357 บาท (100,000 กีบ)
ค่าอาหาร 3 วัน (แบบกินธรรมดาไม่หรูหราและไม่กินจุเกินไป) 900 บาท (วันละ 300)
ค่านวดตัว 143 บาท (40,000 กีบ)
*** หลวงพระบางไม่ต้องเช่าจักรยาน สามารถเดินได้รอบครบหมด หากเราหาที่พักในย่านใกล้ๆวัดเชียงทอง
เวียงจันทร์
ค่าเหมารถเที่ยวรอบเมือง 400 บาท
ค่ารถเวียงจันทร์ – อุดรฯ 80 บาท (22,000 กีบ)
ค่าอาหาร 300 บาท
ค่ารถจาก บขส.เก่า ไปสนามบิน 100 บาท
รวม 8,319 บาท
Note:
- หากจับคู่กันไป 2 คนจะลดค่าใช้จ่ายไปประมาณ 700 บาทในส่วนของค่าที่พัก
- ค่าตั๋วเครื่องบินอาจแพงหรืออาจถูกกว่านี้ ต้องรอจังหวะหรือหาโปรโมชั่นดีๆ
- หากเปลี่ยนการเดินทางจากเครื่องบินกรุงเทพฯ – อุดร เป็นรถทัวร์ จะลดค่าใช้จ่ายได้อีกประมาณ 1,000 บาท
- เดินทางแบบประหยัดใช้งบประมาณเพียง 6,500 บาท เพิ่มอีกนิดเดินทางโดยเครื่องบินไปลงอุดรฯ ใช้งบประมาณ 8,500 บาท อัตราเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นตามวันเวลา ค่าใช้จ่ายที่แสดงนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 24 กุมภาพันธ์ 51 และอัตรานี้ไม่รวมเหล้า,เบียร,บุหรี่ หรือการช็อปปิ้ง
- คนที่เที่ยวแบบประหยัดงบสุดๆ ประเภทเที่ยวแล้วยังไม่ยอมสบาย ก็สามารถประหยัดได้อีกบางส่วนเช่น ค่าอาหาร, ค่าที่พัก, และค่ารถ
- สำหรับคนที่ชอบสบายๆไม่อยากซีเรียสอะไรมากนัก ควรมีเงินสำรองติดตัวไปมากกว่างบประมาณที่ตั้งไว้บ้าง ไม่งั้นจะเที่ยวไม่สนุกเพราะต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายเกินที่ตั้งไว้ ในขณะที่ที่นั่นมีที่พักสวยๆ, มีร้านเก๋ๆให้นั่งจิบเบียรสบายๆ, มีร้านอาหารริมฝั่งโขงบรรยากาศเหมาะกับดินเนอร์ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้น และคงต้องมีการซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาบ้างอยู่แล้ว เอาอัตราสบายๆก็จัดงบไว้ดังนี้
- เดินทางโดยรถทัวร์ จัดงบประมาณไว้ 8,000 บาท+ เพิ่มค่าเหล้า,เบียร,บุหรี่และช็อปปิ้งหากคิดว่าคุณอดใจไม่ได้แน่ๆ
- เดินทางโดยเครื่องบิน จัดงบประมาณไว้ 10,000 บาท + เพิ่มค่าเหล้า,เบียร,บุหรี่และช็อปปิ้งหากคิดว่าคุณอดใจไม่ได้แน่
ละเอียดขนาดจัดทัวร์เลย
ReplyDeleteดีจังก๊ะ ละเอียดดี จาลอกพี่เขตไปลุยแล้วก๊บ
ReplyDeleteรายละเอียดเยอะดีค่ะ จะเดินทางเที่ยวเดือนหน้าค่ะ
ReplyDeleteว้าววววว สุดยอดเลยค่ะ
ReplyDelete@^_^@
ReplyDelete