Tuesday, October 9, 2012

ขี่ควายไล่พม่า

เมื่อสุริยนย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง

ให้มาคิดถึงท้องทุ่งนาเสียจัง… ป่านฉะนี้คงคอยหวัง เมื่อไหร่จะกลับบ้านนา


เนื้อหาเศร้าๆที่จับใจ สะท้อนชีวิตผู้คนมากมายจากต่างจังหวัดที่หลั่งไหลเข้ามาหาเงินหางานในเมืองหลวง ผ่านบทเพลง นักร้องบ้านนอก ซึ่งประพันธ์โดยคุณไวพจน์ เพชรสุพรรณ ที่คุณพุ่มพวงเคยขับกล่อมไว้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วดังแผ่วเข้ามาในใจ เมื่อเห็นพระอาทิตย์เหนือทุ่งนากำลังจะลาลับของฟ้า ระหว่างทางกลับจากสิงห์บุรีมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เมืองธุรกิจที่มีเงาของตึกให้หลบร้อนมากกว่าเงาของไม้ใหญ่
ความฝันที่จะใช้ชีวิตในท้องทุ่ง ปลดวางความเร่งรีบแล้วละเมียดละไมกับกลิ่นไอดินหลังฝน ทุกวันให้ผิวกายได้สัมผัสสายลมใต้ร่มป่า ปะทุในใจอีกครั้ง ถึงแม้กรุงเทพฯจะเป็นบ้านที่อบอุ่นอยู่ในปัจจุบัน

การได้เดินทางพักผ่อนจังหวัดใกล้ๆในช่วงระยะเวลาสั้นๆของวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ช่วยเพิ่มพลังใจสำหรับผู้อยู่อาศัยในกรุงเทพฯได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
สิงห์บุรี ไม่ใช่ชื่อแรกๆที่นักท่องเที่ยวจะนึกถึง ต่างกับเชียงใหม่, กระบี่ หรือเมืองอื่นๆที่มีความโดดเด่นด้านความสวยงามของธรรมชาติ แต่สิงห์บุรีก็เป็นชื่อแรกเสมอเมื่อนึกถึงการปกป้องผืนแผ่นดินของบรรพบุรุษ
สิงห์บุรีนี่นี้ นามใด สิงห์แห่งต้นตระกูลไทย แน่แท้ ต้นตระกูล ณ กาลไหน วานบอก หน่อยเพื่อน ครั้งพม่ามาล้อมแล้ ทั่วท้องบางระจัน" คำจารึกที่ฐานของอนุสาวรีวีรชนแห่งค่ายบางระจัน ย้ำให้ระลึกถึงความหาญกล้าของบรรพบุรุษไทย ปู่ทองเหม็น ขี้เมาที่ขี่ควายออกจากค่ายไปไล่ล่าทหารพม่า แสดงโดยคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ จากภาพยนตร์เรื่อง บางระจัน ช่วยให้นึกถึงภาพการต่อสู้ต้านพม่าของชาวบางระจันเมื่อครั้งที่จะต้องเสียกรุงต่อพม่าเป็นครั้งที่สองได้อย่างแจ่มชัดว่า ชาวบางระจันแม้จะเป็นเพียงชาวบ้านที่ไม่รอบรู้การทำศึกสงคราม แต่ด้วยจิตใจที่ห้าวหาญและรักแผ่นดิน ท่านเหล่านั้นจึงได้ปักหลักต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ พลีแม้ชีพเพื่อหวังจะรักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษไว้ให้ลูกหลาน
ความกล้าหาญและความรักผืนแผ่นดินของชาวบางระจันแสดงให้เห็นเมื่อ พระเจ้ามังระแห่งอาณาจักรพม่าส่งเนเมียวสีหบดีนำกองทัพบุกเข้ามาทางเหนือเพื่อที่จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ในยุคที่อยุธยาอ่อนแออยู่ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรอยุธยา

พม่ายกทัพมาจากทางเหนือผ่านมถึงเมืองวิเศษชัยชาญและตีเมืองจนแตก นายทองแก้วจึงได้รวบรวมชาวบ้านหลบหนีไปบ้านโพธิ์ทะเลและสุดท้ายรวมกันมาที่บางระจันและร่วมกันกับชาวบ้านบางระจันก่อเนินดินสร้างค่ายเพื่อต้านทัพพม่าไม่ให้เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ค่ายบางระจันมีหัวหน้าค่ายเป็นชายทั้งหมด 11 ท่าน คือ นายทองแก้ว นายดอก ขุนสรรค์ นายทองแสงใหญ่ นายทองเหม็น พันเรือง นายจันหนวดเขี้ยว นายเมือง นายอิน นายโชติ และนายแท่น โดยมีพระครูธรรมโชติผู้ที่ชาวบ้านให้ความนับถือและยกย่องว่าแก่กล้า
วิชาคงกะพัน เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบางระจัน


นอกจากทั้ง 11 ท่านที่เป็นวีรชนแล้ว ยังมีวีรสตรีที่สู้รบเคียงข้างชายบางระจันอีก 3 ท่านคือ คือ อีปล้อง อีแฟง และอีเฟื่อง จนได้ชื่อเลื่องลือว่านักสู้แห่งค่ายบางระจัน เข้มแข็งกว่ากองทัพของกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น สร้างความครั่นคร้ามและหวั่นวิตกต่อกองทัพพม่าอย่างยิ่ง พม่านำทัพทหารกว่าพันเข้าปราบปรามถึง 8 ครั้ง ใช้เวลาอยู่นานถึง 5 เดือน จึงจะเอาชนะชาวบ้านบางระจันที่มีอยู่กันเพียงไม่กี่ร้อยคนได้

มีเรื่องเล่าว่าพระครูธรรมโชติได้หายไปจากค่ายบางระจันอย่างไร้ร่องรอย แต่เมื่อค่ายบางระจันถูกทัพพม่าตีจนแตก ท่านได้กลับมาเก็บศพชาวบ้านผูกล้าแห่งบางระจัน
เรื่องราวของชาวบ้านบางระจันผู้กล้าหาญนั้นไม่มีปรากฏอยู่ในพงศาวดารหรือในบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับใดๆ แต่ก็มีปรากฏกล่าวถึงอยู่ในบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เป็นหลักฐานชี้ชัดว่าศึกบางระจันนั้นเคยเกิดขึ้นจริง

แดดที่แผดเผาลงมาในวันนี้ไม่ทำให้คลายความรู้สึกร่มเย็นในใจได้ เมื่อแหงนมองอนุสาวรีย์วีรชนแห่งค่ายบางระจัน
อนุสาวรีย์รูปหล่อของหัวหน้าค่ายบางระจันทั้ง 11 ท่าน ที่นุ่งผ้าขมวดเหน็บหลังเป็นกางเกงทะมัดทะแมง ผูกผ้ายันต์ที่ต้นแขน ยกดาบคล้ายจะกวัดไกวต่อสู้ป้องกันภัยจากผู้รุกราน โดดเด่นอยู่ที่ลานกลางสวนรุกชาติ ตรงข้ามกับวัดโพธิ์เก้าต้น สถานที่ชุมนุมและก่อสร้างค่ายบางระจัน

 

"วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นของผู้ที่รักแผ่นดินไทย เป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยทั้งมวล ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีกำลังใจและเตือนสติให้มีความสามัคคีและรักษาจิตใจให้เข้มแข็ง เพื่อรักษาประเทศไทยให้ตนเองและเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน....."พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงตรัสไว้ เมื่อครั้งเสด็จเปิดอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๑๙

รถวิ่งผ่านทุ่งนาจนถึงย่านโรงงานอุตสาหกรรม อีกไม่นานก็จะผ่านเข้าไปจนถึงกรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่ที่คงไม่เกิดขึ้นหากบรรพรุษไทยขาดความรักในแผ่นดิน
 พระอาทิตย์ลับลาไปแล้ว แต่เสียงเพลงยังดังแว่วอยู่ในใจ เมื่อสุริยน ย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง ให้มาคิดถึงท้องทุ่งนาเสียจัง ป่านชะนี้คงคอยหวัง เมื่อไรจะกลับบ้านนา 

3 comments:

  1. อู้หู เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระ ไปเที่ยวพม่าคราวนี้
    คงไม่อิน ขนาดพกดาบไปฟันข้าศึกนะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ฮาๆๆ อันนี้เป็นการบ้านที่เขียนส่งอาจารย์หน่ะครับ เขาให้ลองเปลี่ยนสไตล์เขียนดู แต่ส่งไปแล้วอาจารย์ไม่อ่าน ไม่วิจารณ์ เงียบไปเลยอ่ะ

      Delete
  2. บุ๋มก็ยืนยันรหัสแล้วนะ ยังไม่ขึ้นหน้าให้อีกเหรอเนี่ย สงสัยคีย์ผิด สายตาไม่ดีเหมือนกัน
    จริงๆตั้งค่าไม่ให้ยืนยันก็น่าจะได้ แต่เข้ารหัสก็มีประโยชน์ดีเหมือนกันนะ

    ReplyDelete